ความหมายคำว่าบังคับที่ผมต้องการสื่อก็คือว่า ค่าอาหารถูกบวกเข้าไปในค่าตั๋วแล้ว ดังนั้นผู้โดยสารที่เห็นคุณค่าของเงินก็จะต้องตื่นขึ ้นมาใช้มัน โดยการกินหรือแลกเป็นเครื่องดื่ม คำถามก็เลยมีว่าทำไม ไม่เอาค่าอาหารที่บวกเข้าไปในตั๋วมาลบออกจากค่าตั๋ว ค่าตั๋วได้ถูกลง ส่วนจอดพักรับประทานอาหารก็ใช้เงินสด ใครอยากกินอะไรก็ซื้อด้วยเงินสดกันเอาเองไม่ต้องใช้ค ูปองแลก คนที่ไม่อยากกินก็ไม่ต้องซื้อ นั่นหมายความว่าคนที่ไม่ได้กินจะประหยัดเงินค่าอาหาร ซึ่งมีค่าเท่ากับมูลค่าตามคูปองที่ต้องใช้แลกได้ แต่ถ้าเป็นคูปองหางตั๋วที่บวกค่าอาหารไปแล้ว ไม่ว่าผู้โดยสารจะหิวหรือไม่ อยากแลกคูปองหรือไม่ยังไงก็ต้องเสียตังค์ให้ค่าตั๋วต ั้งแต่ตอนซื้อตั๋วแล้ว แทนที่จะซื้อตั๋วได้ถูกลง
ขอยกตัวอย่าง คุณ linkbus ที่ว่า ไม่แลกก็ได้ ก็ถูกแต่ ตั้งข้อสังเกตุว่า ทำไมต้องมีพนักงานร้านอาหารเดินมาพยายามปลุกท่านจากก ารนอนเพื่อให้ท่านแลกเครื่องดื่มในตะกร้าที่ถือมา ทั้งๆที่ไม่แลกก็ได้ แต่ทำไมร้านอาหารถึงอยากได้คูปอง
ขอตั้งข้อสมมติอีกข้อว่า ถ้ายกเลิกคูปอง ลดราคาตั่วลงใบละ สิบบาท ใครหิวก็ใช้เงินสดไปซื้อกันเอง ถ้าเป็นเช่นนี้ร้านอาหารจะขาดรายได้เท่าไรต่อวัน เพราะรับรองได้ว่า ผู้โดยสาร 36 คน ไม่ทั้ง 36 คนแน่นอนที่ลงไปซื้อของกินเมื่อรถจอด แต่ถ้าเป็นคูปอง 36 ใบ รับรองได้ว่า ร้านอาหารต้องทำทุกวิธี เพื่อให้ได้คูปองมา 36 ใบ
ที่ว่ามานี้ถึงบอกว่า ถูกบังคับให้ใช้คูปอง เลยต้องขออธิบายเพิ่มเติม ดูเหมือนว่าเพื่อนๆที่ช่วยตอบมา เข้าใจไม่ตรงประเด็น
ขอยกตัวอย่างกรณีการเสริฟอาหารระหว่างเดินทางของสายก ารบิน อาหารจะเสริฟก็ต่อเมื่อการเดินทางนั้น เป็นเวลาอยู่ระหว่างมื้อเช้า เที่ยง เย็น ถ้าระยะเวลาการเดินทางไม่ได้คาบเกี่ยวมื้ออาหารทั้งส ามมื้อ สายการบินนั้นก็จะไม่เสริฟอาหาร เข้าใจว่ารถทัวร์ก็พยายามจะพัฒนาการบริการ โดยการเสริฟอาหาร แต่ไปๆมาๆ กลายเป็นคูปองแลกอาหารในทุกๆเที่ยวการเดินทาง ไม่ว่าจะเดินทางตอนกี่โมงก็ตาม
|