5.ทดลองเดินรถโดยสารปรับอากาศเป็นรายแรก
คุณถาวรเล่าให้ฟังว่า “แม้แต่รถปรับอากาศ ผมก็เป็นคนแรกที่สั่งมาวิ่ง คือเรามองดูสภาพทางจากนครสวรรค์ – ลำปาง – เชียงใหม่ มันยังเป็นทางลูกรัง ฝุ่นเยอะ ทำให้คนโดยสารท้อและหันไปขึ้นรถไฟ เราก็มาคิดดูว่า ถ้าเรามีรถยนต์โดยสารปรับอากาศมาวิ่งแล้ว คนก็คงจะหันมานิยมใช้ ดังนั้น ในปี พ.ศ.2510 ผมก็เลยตัดสินใจสั่งรถยนต์โดยสารปรับอากาศมาทดลองวิ่ ง 2 คัน เป็นยี่ห้อฮีโน่ประกอบสำเร็จมาเรียบร้อย ราคาในขณะนั้นคันละ 7 แสนบาท”
“พอเราวิ่ง คนก็เต็มรถ จนทางการรถไฟส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาพบผม 3 คนครับ คือ เขามีกรรมการเกี่ยวกับการจัดการเดินรถอยู่ 7-8 คน เขามาพบผม 3 คน ถามว่า ผมมีจุดมุ่งหมายในการเดินรถปรับอากาศอย่างไร ผมก็ได้ชี้แจงไปว่า ทางรถไฟอาจจะไม่กระทบกระเทือน เพราะรถเรายังน้อย และอีกประการหนึ่ง คนที่มาใช้รถยังคำนึงถึงความปลอดภัย เพราะระยะนั้นรถไฟปลอดภัยกว่า แต่เสียเวลามากกว่า โดยวิ่งกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ในระยะนั้น รถไฟใช้เวลาเดินทางนานถึง 1 วัน ส่วนรถทัวร์ในตอนนั้นใช้เวลาเดินทาง 18 ชั่วโมง เพราะทางยังไม่ดี”
“ปีต่อมา ผมสั่งรถโดยสารปรับอากาศเพิ่มอีก 4 คัน และอีกปีหนึ่งก็สั่งเพิ่มอีก 6 คัน และเราใช้รถยนต์โยสารปรับอากาศอยู่หลายปี ก่อนที่ต่อมาจะเกิดปัญหารถทัวร์ผิดกฎหมาย อันนี้ท่านผู้จัดการลออ และท่านขุนแผน กระหม่อมทอง ทราบดี”
6.ทรรศนะคติเกี่ยวกับปัญหารถผิดกฎหมาย
คุณถาวร ให้ทรรศนะเกี่ยวกับปัญหารถทัวร์ผิดกฎหมายว่า สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะบริษัทขนส่ง จำกัด ขยายเส้นทางของบริษัทฯ เองก็ดี หรือของรถร่วมก็ดีช้าเกินไป ไม่ทันต่อความต้องการของประชาชน โดย คุณถาวร มีความเห็นว่า ในบางเส้นทาง ถ้า บขส. ไม่สามารถที่จะขยายได้ ก็ควรให้รถร่วมขยายออกไป ก็จะเป็นการรับกับจำนวนพลเมืองที่เพิ่มขึ้น
คุณถาวรเล่าว่า “สมัยที่ผมเป็นกรรมการบริหาร บขส. (บอร์ด บขส.) ผมเคยชี้แจงในที่ประชุมและเคยพูดกับท่านอธิบดีกรมการ ขนส่งทางบก ท่านก็เห็นด้วยว่าปีหนึ่งๆ ควรจะเพิ่มรถให้รถร่วมหรือรถของบริษัทขนส่ง จำกัด อย่างน้อย 5-10% แต่แล้วนโยบายอันนี้ของ บขส. ก็ไม่ได้ทำ”
“เพราะฉะนั้น เมื่อเราไปกักเอาไว้จนกระทั่งรถของเราไม่พอแก่ความต้ องการของประชาชน ก็มีคนที่ฉวยโอกาสเอาช่องโหว่อันนี้เข้ามาทำรถทัวร์”
คุณถาวรให้ความเห็นต่อไปว่า “ตานี้ฝ่ายเรา เป็นพวกที่อยู่ในควบคุมตามกฎหมาย ทำตามข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบก ทำตามระเบียบของบริษัทขนส่ง จำกัด แต่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายที่ฉวยโอกาสเข้ามา ดังนั้น เมื่อเขาไม่กลัวความผิด ไม่กลัวกฎหมายเขาก็ทำ เมื่อทำไปโดยฝ่าฝืนกฎหมายแล้ว เขาก็ได้เปรียบ”
“การปราบปรามก็ไม่ได้รับความร่วมมือในระยะแรก ถ้าได้รับความร่วมมือจากทางตำรวจ ทางบ้านเมือง ปัญหารถผิดกฎหมายก็จะไม่มี”
“ในระยะแรก เราปล่อยปละละเลย และทางรัฐบาลก็คิดว่าคล้ายๆ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ปล่อยไปจนกระทั่งรถผิดกฎหมายเต็มบ้านเต็มเมือง”
“พอมันเต็มขึ้นมาแล้ว เราจะทำลายลงไป มันก็เสียเศรษฐกิจ ก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา จำเป็นจะต้องยอมรับคนผิดให้กลายเป็นคนถูก”
“ตอนนี้ก็เลยเกิดปัญหาการได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะเจ้าของรถร่วมไม่มีโอกาสได้ขยายกิจการ เพราะต้องทำตามกฎข้อบังคับของกรมการขนส่งทางบก และของ บขส. ขณะเดียวกัน ฝ่ายรถทัวร์ผิดกฎหมาย ขยายตัวได้เต็มที่เลย เข้ามาเอาส่วนที่เป็นส่วนเกินเอาไปหมดเลยแล้ว ยังเกินแก่ความต้องการด้วยซ้ำในเวลานี้”
“ถ้าเราจะยึดเอารถพวกนี้ ซึ่งหมายถึงรถทัวร์ผิดกฎหมาย ไปทำลายเสีย ก็จะเป็นการทำลายเศรษฐกิจ มันก็เกิดเป็นปัญหาเข้ามา เราก็ต้องยอมรับสภาพ”
“เมื่อยอมรับสภาพของเขาเข้ามาแล้ว ผมว่าควรจัดให้ฝ่ายเจ้าของรถร่วมให้เขาอยู่ได้ เขาเลี้ยงตัวได้ สมมติเอาง่ายๆ เลยว่า อย่างเมื่อมีการประชุมสมัยรัฐบาลเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ และท่านรัฐมนตรีประสงค์ ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก่อนที่จะรวมกัน ผมก็เข้าประชุมด้วย ผมก็ยกตัวอย่างให้ที่ประชุมฟังว่า เวลานี้อย่างกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ มีผมกับบริษัทยานยนต์นครสวรรค์(ทันจิตต์ทัวร์) ที่วิ่งอยู่ทั้ง 2 บริษัท ระยะนั้น มีรถที่ทำสัญญาเป็นรถร่วมกับ บขส. เพียงบริษัทละ 4 คัน รวมเป็น 8 คัน เพราะว่าบริษัทขนส่ง จำกัด ไม่ยอมขยายให้ แต่รถทัวร์ที่ทำผิดกฎหมายเอามาวิ่งอยู่ 70 กว่าคันแล้ว ถ้าเรายอมรับเอาไว้ 70 คันมาหมุนเวียนคิวกับผมกับยานยนต์นครสวรรค์ ก็พอดีเลย เดือนหนึ่งๆ ผมจะวิ่งเพียงเที่ยวเดียว หรืออาจจะไม่ได้วิ่งเลย”
“คนที่ทำถูกกฎหมายมาตลอด อยู่ในข้อบังคับ แต่กลายเป็นผู้ที่เสียเปรียบ แล้วกับคนที่ทำผิดกฎหมาย กลายเป็นผู้ที่ชุบมือเปิบ ไม่ยุติธรรมกับพวกผม”
“ทางที่ประชุมก็เลยบอกว่าไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นแล้ว ก็ควรจะกำหนดออกมาใหม่ รัฐมนตรีประสงค์ท่านก็บอกว่า รถทั้งหมดควรจะจัดเป็นรูปนิติบุคคล โดยให้รถทัวร์ผิดกฎหมายรวมกันขึ้น มาเป็นรูปแบบบริษัท โดยยกตัวอย่างเช่น ให้เป็นบริษัทขนส่ง จำกัด บริษัทถาวรฟาร์ม จำกัด และบริษัทยานยนต์นครสวรรค์ จำกัด และให้รถทัวร์ผิดกฎหมายรวมกันเป็นบริษัทจำกัด จึงจะมีทั้งหมด(ในเส้นทางหนึ่งๆ ) รวมทั้งหมด 4 บริษัท และจะห้ามไม่ให้เกิน 4 บริษัท หมุนคิวกันโดย จะเอาจำนวนรถมาบีบเจ้าของรถร่วมเดิมไม่ได้”
“ในระยะหลัง ทางบริษัทขนส่ง จำกัด เขาก็เริ่มเพิ่มจำนวนรถมาให้อะไร มาให้ตามข้อเท็จจริง แต่ว่าการรวมตัวเวลานี้ ทางรถทัวร์เขาก็พยายามเกี่ยง คือเกี่ยงของเขาก็เพื่อ 2-3 อย่างได้แก่
1. ทางบริษัทขนส่ง จำกัด เก็บเงินค่าเส้นทาง เขาไม่อยากเสียอันนี้ข้อหนึ่ง เขาก็พยายามต่อสู้
2. เขาพยายามเอารัดเอาเปรียบเจ้าของรถร่วมที่มีอยู่เดิม
“เพราะฉะนั้น ปัญหานี้อาจจะต้องเจรจากันอีกนาน คือจะแยกออกเป็นอิสระก็ดี หรือว่าจะร่วมวิ่งกันกับบริษัทขนส่ง จำกัด ก็ดี ก็ยังมีปัญหาข้างหน้าอีกเยอะ”